แนะนำ คณะทันตแพทย์ จ้า - แนะนำ คณะทันตแพทย์ จ้า นิยาย แนะนำ คณะทันตแพทย์ จ้า : Dek-D.com - Writer

    แนะนำ คณะทันตแพทย์ จ้า

    หนูอยากเป็น...หมอฟันค่ะ ผมอยากเรียน....หมอฟัน..ครับ.

    ผู้เข้าชมรวม

    85,441

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    8

    ผู้เข้าชมรวม


    85.44K

    ความคิดเห็น


    907

    คนติดตาม


    53
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  5 ต.ค. 48 / 21:36 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      บทความนี้แต่งโดย : จอมโจรคิด
      ------------------------------------------

      “โอ้ยยย...จะเรียนไปทำไม... หมอฟัน...เลือกหมอไปเลยดีกว่ามั้ยลูก”
      “ห่ะ....จะเรียนหมอฟัน   ขูดๆ แคะ  ขี้ฟันคนไข้ไปเรื่อยอ่ะหรอ”
      “ดีซิ  หมอฟัน รวยดี  ขูดๆ ถอนๆ  ก็ได้เงินเยอะหละ”





                              ข้อความข้างบนเป็น หลายเสียงที่ตอบกลับมา
      เมื่อเราบอกกับพ่อแม่ และคนรอบข้าง ถึงคณะที่เราตัดสินใจเลือก ตั้งแต่ ม.3
      ก่อนที่จะเลือกแผนการเรียนวิทยาศาสตร์


      .........................ณ วันนี้เราได้เรียนคณะนี้สมใจอยากแล้ว  
      เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังนะ ว่า  เมื่อได้เรียนแล้วเป็นแบบที่ เรา  และคนรอบๆข้าง
      คิดไว้หรือปล่าว  

                         เราสอบติดคณะ ทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่    
      เราเป็นคน กรุงเทพฯ  แต่ที่เลือกเชียงใหม่  คือ อารมณ์
      ตอนนั้นไม่คิดอะไรทั้งสิ้น  ขอให้ได้ เรียนหมอฟันก็พอ
      พอติดจริงๆตอนแรกก็ดีใจนะ  ดีใจมาก สมกับความพยายามของตัวเอง
      แต่...พอสักพักเริ่มหวั่นๆ   ไม่เคยไปเชียงใหม่เลยในชีวิต  
      ได้ไปเหยียบเชียงใหม่ครั้งแรกวัน สัมภาษณ์นั่นแหละ   เชียงใหม่ก็เป็นเมืองใหญ่
      มีห้างสรรพสินค้า  central   โรบินสัน  2 ห้างที่เป็นห้างใหญ่  ก็สะดวกดี
      ไปไหนมาไหนก็ รถแดง หรือบางคนเรียกว่า 4 ล้อ   10 บาทตลอดสาย  รถแดงนี่ก็ รถ 2
      แถวขนาดเล็กดีๆนี่เอง  ถ้าเป็นนักศึกษาก็ต่อได้นะ  บางคันใจดีเค้าก็ให้ 5 บาท
      7 บาท แล้วแต่ ( แต่ส่วนมากไม่ค่อยจะยอมลดราคาเท่าไหร่หรอก เอา 10
      บาทลูกเดียวเลย ทั้งๆที่ความจริงก็ใกล้ )
                      พอไปถึง เห็นมหาวิทยาลัยครั้งแรก
      ไม่คิดว่าที่นี่เป็นที่เรียน  นึกว่าเป็นอุทยานอะไรสักอย่าง
      เพราะต้นไม้เยอะมาก   แทบมองไม่เห็นตึกเรียนเลย    แล้วก็กว้างมากๆ   บางช่วง
      2 ข้างทางเป็นป่าละเมาะ  บริเวณหอพักก็ใกล้ๆกับ ตึกเรียน
      ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 10 นาทีก็ถึง   แต่ใครไม่อยากเดินให้เมื่อย
      ก็ตื่นเช้าหน่อย มารอรถไฟฟ้าที่มหาลัยมีบริการ  
      รับส่งตามหอและตึกเรียนตามคณะต่างๆ
                      แต่ตัวคณะ ทันตแพทย์จริงๆไม่ได้อยู่ใน มหาวิทยาลัยนะ  
      แยกออกมาตางหาก  เรียนใน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เฉพาะวิชาพื้นฐานตอนปี 1
      เท่านั้น    พอปี 2 ก็ย้ายหอออกมาเรียนที่คณะ  ( คณะ เภสัช หมอ เทคนิคการแพทย์
      พยาบาล สัตวแพทย์ ก็เหมือนกัน )  

                

      ------------------------------------------------------------------------------------

      ปี1 ก็เหมือนกับ หมอ  เภสัช  คณะทางสายวิทยาศาสตร์สุขภาพคณะอื่นๆนั่นแหละ
      คือเรียนวิชาพื้นฐานของคณะวิทยาศาสตร์  
      General   chemistry ทฤษฎี และ แลป
      Physic for dent  ทฤษฎี และ แลป
      Oranic chemistry
      English
      Stat
      Zoology  ทฤษฎี และ แลป  
      แล้วก็ วิชาเลือก
      5 ตัวบนคงรู้จักกันดีอยู่แล้วนะ   ไม่ขออธิบายในที่นี้หละกัน
      แต่ รู้จักตัวนี้กันมั้ย zoology (ขอเรียกสั้นๆว่า zoo ล่ะกันนะ )
      คิดว่าไม่น่าจะมีมหาลัยไหน เหลือให้เรียน Zoo นอกจากที่นี่
      เรียน zoo นี่คือจะเรียนทั้งปีเลย  แบ่งเป็นเทอม 1และเทอม 2
      เทอม 1 zoo จะเรียนเกี่ยวกับ สัตว์  การวิวัฒนาการของสัตว์เปรียบเทียบกัน
      กระดูก   กล้ามเนื้อ ระบบ ต่างๆของมัน  ศึกษา จากของจริงด้วย
      จะได้ลงมือผ่าชำแหละกระต่าย
      เห็นอาจารย์กระต่ายครั้งแรกจำได้ว่าเราตื่นเต้นมากๆ  
      แล้วก็เหม็นกลิ่นน้ำยาดองสุดๆ  ไม่กล้าจับ กลัว  แต่พอคาบหลังๆก็จะเริ่มชิน
      เริ่มถอดถุงมือ  ไม่กลัวแล้ว     แล้วแต่ละคนก็จะได้ โครงกระดูกกระต่าย
      เป็นสมบัติของสายรหัส  กลับมาท่องที่หอ  กระดูกชิ้นนี้ชื่ออะไร
      รูในกะโหลกกระต่ายมีกี่รู  มีเส้นเลือดอะไรผ่านเข้าออกบ้าง
      ของกบกับฉลามก็เรียนเหมือนกัน  แต่ฉลาม อาจารย์จะผ่าแสดงให้ดูไม่ให้ผ่าเอง
      เพราะ ฉลามหายาก ไม่พอกับนักศึกษา
      เทอม 2 จะเรียนภายใน  คือ ใช้กล้องจุลทรรศน์ศึกษา   ตัวอ่อนสัตว์ embryo   หมู
      ไก่    ศึกษาการเจริญของมัน


             ปี 1 ก็ไม่มีอะไรมาก  หนักก็แต่วิชา Zoology นี่แหละ เพราะ
      เป็นความรู้ใหม่ไม่เคยเรียนมาก่อน ประกอบกับต้องท่อง  บวกกับความเข้าใจด้วย  
      แล้วก็ต้องตัดเกรดรวมกับ หมอ ด้วย ทำให้ ลำบากนิดนึง
         ตอนปี 1 เราก็ไม่ชอบหรอกวิชานี้  เคยคิดว่าจะเรียนไปทำไม  
      จะต้องรู้ไปทำไม   เรื่องของสัตว์ ทั้งหลาย   เป็นเรื่องไกลตัว
      ไม่ได้จะเรียนไปเป็น สัตวแพทย์สักหน่อย   พอขึ้นปี 2 จริงๆ
      กลับเพิ่งสำนึกได้ว่ามันมีประโยชน์  เดี๋ยวจะเล่าต่อไปว่ามีประโยชน์อย่างไร  
        ปี 1ก็ สนุกสนานเฮฮา เ ตะเวนกินตามหน้า มอ  หลัง มอ  คนส่วนใหญ่จะฮิต
      กินนมกัน   มีร้านนมเต็มไปหมด   เหมือนร้าน  มนต์   ตรงกทม.  
      ที่กรุงเทพนั่นแหละ    และอีกอย่างนึงเชียงใหม่มี บุฟเฟ่ ให้เลือกสรรกิน
      มากมาย  ราคาถูกด้วย  แสนจะคุ้ม   มีตั้งแต่  อาหารเวียดนาม   หมูกะทะ สุกี้
      ติ่มซำ  อาหารนานาชาติ   ราคาไม่แพง    กินกันจนพุงกาง  
      ที่ที่น่าสนใจก็มีเยอะ   เช่นถนนคนเดินท่าแพปี 1 นี่ไปบ่อยมาก  
      เป็นถนนนึงซึ่งเค้าจะปิดวันอาทิตย์   แล้วก็เอาของมาวางขาย  
      มีของแปลกๆเยอะมาก  ของพื้นเมือง   เดินเลือกชมกันเป็นที่สนุกสนาน  
      หรือเหงาๆก็ไปดูหนัง  ที่โรบินสัน  ไม่ก็ เซลทรัล  ที่เที่ยวธรรมชาติก็เยอะนะ
      บางทีเสาร์  อาทิตย์ ก็เหมารถแดงไปเที่ยวน้ำตกกับเพื่อนๆ  
      ถ้าหน้าหนาวก็ไปค้างบนดอย  หนาวสะใจดี    เชียงใหม่ก็เป็นเมืองน่าอยู่  
      เพรียบพร้อมด้วยแหล่งกิน  แหล่งเที่ยว   อากาศดีด้วย

                 พอผ่านปี 1 มาได้ ก็จะได้ย้ายมาเรียนที่ตัวคณะทันตแพทย์
      ย้ายของจากหอใน มหาวิทยาลัย มาอยู่รวมกันกับพี่ๆปี  3-6   ที่หอคณะ  
      ปี 2 เทอม 1   เป็นเทอมที่ นับว่า สุดยอดของการปรับตัว   ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
      กับ ปี 1    เทอมนี้จะต้อง ทำแลบคณะด้วย  ขออธิบายก่อน  ทำแลบ
      ของคณะทันตะนี่หมายถึงทำงานประดิษฐ์ ทางทันตกรรม  ไม่ได้เหมือน แลบ เคมี
      แลบฟิสิกส์ ทำการทดลองอย่างงั้นนะ   คนละเรื่องกันนะ    
      ขออธิบายเรื่องแลบก่อนหละกัน  ปี 2 เทอม 1 มีแลบ ให้เรียน 2  ตัวคือ

      1. PROSTHODONTICS เป็นวิชาที่เรียนเกี่ยวกับ ทันตกรรมประดิษฐ์  อย่างปี 2
      ก็ได้เรียนการทำฟันปลอมทั้งปาก  (complete denture) เรียนทั้งปี
      ได้ฟันปลอมออกมา 1 อัน   ตอนเรียนก็คือ อาจารย์จะสอน ทฤษฎีก่อน “
      การทำฟันปลอมขั้นตอนที่1 ทำ ...อย่างงี้ๆๆ นะคะ นักศึกษา”
      แล้วอาจารย์ก็จะสาธิตให้ดู   แล้วก็แจกอุปกรณ์ให้นักศึกษาปฏิบัติ  

      2. Dental  anatomy  วิชานี้เป็นวิชา ที่ต้องแกะสัก wax ให้เป็นฟัน  เค้าจะแจก
      wax ก้อนเหลี่ยมๆ มาให้  เราต้องแกะสกักโดยใช้เครื่องมือ ให้เจ้า wax เนี่ย
      กลายเป็นซี่ฟันขึ้นมาให้ได้   ได้ขนาดตามที่กำหนด  วัดกันเป็นหน่วย  0.1
      มิลลิเมตร ใช้เวอร์เนียร์ วัดกันเลย  ระหว่างแกะwax
      ไปก็ท่องลักษณะของฟันที่กำลังแกะไปด้วย  ฟันซี่นี้ มีกี่ราก   มีกี่ปุ่มฟัน
      ร่องของฟันตรงนี้เรียกว่าอะไร    วิชานี้ก็ยากนะ สำหรับมือใหม่ wax
      นี้ก็หักได้ถ้ากดน้ำหนักแรงเกินไป  
      * หมายเหตุ แลบทั้ง 2ตัวนี้จะมีตัว แลกเชอร์เรียนคู่กันไปด้วยนะ
      จะกล่าวถึงอีกที

            งานแลบปี 2 นี่อาจารย์จะ เข้มงวดมาก   ทุกอย่างที่ทำออกมาต้อง  เปะๆๆๆ  
      ผิดไป 0 .5 มิลลิเมตร  ก็ต้อง “ทำใหม่ “  จุดประสงค์ของอาจารย์จริงๆ  
      ในการให้นักศึกษาทำแลบในปี 2 ก็เหมือนกับ ฝึกหัดความประณีต
      ฝึกความละเอียดของมือ    เพราะพื้นฐานตรงนี้ของแต่ละคนไม่เท่ากัน
      บางคนจับเครื่องมือครั้งแรกก็สามารถแกะ wax ออกมาได้เป็นฟันสวยงาม   บางคนหมด
      wax ไป  10 ก้อนกว่าจะได้ฟันซี่แรกออกมา   การทำแลบเป็นการฝึกฝน  
      ถ้าตั้งใจทำตรงนี้  ความละเอียด ระวังรอบคอบก็จะมีมากขึ้นเอง    
      และโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาชีพ หมอฟันเป็นอาชีพ ที่ต้องทำงานในที่เล็กๆ แคบๆ มืดๆ
      อย่างในปากคนไข้   เกี่ยวเนี่องกับกล้ามเนื้อ เส้นประสาท   เส้นเลือด  
      ถ้าไม่ระวังพลาดไปนิดเดียว  ( แม้แต่มิลลิเมตรเดียว  เลือดก็ไหลแล้ว)

              นอกจากนี้แลบยังเป็นตัวตัดเวลา อ่านหนังสืออีกด้วย
      ใครทำเร็วทำสวยก็โชคดีไป   เวลาที่เหลือก็เอาไปอ่านหนังสือ หรือ นอนพักผ่อน
      ได้  ใครทำนาน  บางคืนก็ไม่ได้นอน  ไม่ได้อ่านหนังสือ ก็เหนื่อยกว่า
      คนที่ทำแลบเก่ง  

             อ่านมาถึงตรงนี้แล้วพอเห็นภาพการทำแลบกันมั่งหรือยัง  
      ถามว่าคนที่ไม่เก่งงานฝีมือ  ไม่มีหัวศิลปะ  เรียนได้มั้ย  ???????
               ขอตอบเลยเรียนได้แน่ถ้ามี    ความอดทน  พยายาม (
      จำไว้เสอมไม่มีสิ่งไหนเกินความพยายามมนุษย์หรอก )ต้องมีกำลังใจมาก  บวก
      ใจรักด้วย   ยิ่งกำลังใจที่เข้มแข็งนี่ต้องมีมากๆๆๆๆ    เพราะอะไรรู้มั้ย  
                  เพราะ บางคืนน้องอาจจะต้องนั่งทำแลบ ตั้งแต่ 6 โมงเย็น  ยัน ตี 4
      ( บางแลบ อาจจะถึงเช้า  หรือบางคนฝีมือดีแล้วก็ใช้เวลาน้อยหน่อย
      อันนี้เวลาขึ้นอยู่กับแต่ละคนนะ )   เช่น นั่ง กรอ  ฐานฟันปลอม  เรียงฟันปลอม
        มันไม่เหมือนกับ อ่านหนังสือนะ  อ่านไม่จบแต่อยากจะนอน
      ตื่นมายังมีความรู้ที่ได้อ่านไปแล้วติดหัวไปสอบ  แต่นี่ถ้าไม่เสร็จ  ไม่มีส่ง
      นอนไม่ได้เด็ดขาด   พอพรุ่งนี้เอาที่ทำทั้งคืนไปส่งอาจารย์  
      อาจารย์ไม่ให้ผ่าน  “ไปทำมาใหม่นะค่ะ...ตรงนี้กรอเยอะเกินไป”     “
      ยังใช้ไม่ได้นะ   มันบิดเบี้ยว  ไปทำมาใหม่”   บางครั้งโดนตำหนิอีกตางหาก
      “ตั้งใจทำมาหรือป่าว  ใช้ไม่ได้เลย   ตั้งใจทำให้มากกว่านี้นะ “
      (ไม่ได้นอนทั้งคืนนี่ยัง ตั้งใจไม่พออีกหรอ  ) ที่ทำไปทั้งคืนสูญปล่าว  
      หรืออย่างเช่น อาจจะเจอเหตุการณ์แบบนี้  แกะสลัก wax จวนจะเสร็จแล้ว  
      รากฟันที่แกะไว้อย่างสวยงาม  หัก.........ทำใหม่ตั้งแต่ต้น    หรือ
      บางทีเรามองด้วยสายตาตัวเองแล้ว  คิดว่าสวย  แต่สายตาอาจารย์ยังไม่สวย
      ก็ต้องเอากลับไปแก้อีก  ระดับความสวยของอาจารย์แต่ละคนก็แตกต่างกันไปอีก  
      บางคนชอบสวยแบบนี้   บางคนชอบอีกแบบ   บางคนขึ้นอยู่กับอารมณ์
      บางทีผลงานของเราก็พอๆกับเพื่อน   แต่ตรวจกับอาจารย์คนละคนกัน  
      เกรดก็ต่างกันแล้ว
                      ที่เล่านี่ข้างบนนี่  เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นในคณะนี้  
      ต้องมีกำลังใจ ใช้ความอดทนอย่างมาก    มีคนเคยบอกว่า
      อาชีพทันตแพทย์เป็นอาชีพที่จะไม่ฆ่าตัวตาย   เพราะพอตอนเรียนอยู่
      ชินเสียแล้วกับ  ความผิดหวัง  ทำใจกับมันเสียจนชิน  

                  ลืมเล่าไป............. แล้วก็มีสอบทำแลบด้วยนะ  แกะwax
      ให้เป็นฟัน   ไม่มีรูปให้ดู  ต้องท่องลักษณะฟันทุกซี่เข้าไป  
      ซี่นี้รากบิดทางไหน  มี ปุ่มฟันเป็นอย่างไร  ร่องฟันกี่ร่อง  
      ท่องเข้าไปทั้งปาก  ออกมาซี่เดียว  แกะให้เสร็จ  ให้เหมือนที่สุดให้เวลา 3
      ชั่วโมง  


        
      พูดถึงแลบไปเยอะแล้ว   คราวนี้มาพูดตัว แลกเชอร์   กันบ้าง  
      ปี 2 เทอม 1 ก็จะมีเรียน   ดังนี้
      GROSS      มหกายวิภาคศาสตร์    เรียนอาจารย์ใหญ่  ตั้งแต่ศีรษะ ถึงครึ่งตัวบน
      1 อาจารย์ใหญ่ต่อนักศึกษา 7 คน    ตื่นเต้นกว่าผ่ากระต่ายอีก (
      อาจารย์ใหญ่คือท่านผู้มีพระคุณ  สละร่างกายให้นักศึกษาได้เรียนรู้  )
      ตอนเรียนเหนื่อยมาก   ก็ต้องทนกับกลิ่นน้ำยาดองศพอีกด้วย  
      รุ่นเราเก่งไม่มีใครเป็นลมเลย  ก็เรียนเหมือนแพทย์นั่นแหละ
      แต่รายละเอียดน้อยกว่า เรียนแต่หลักๆใหญ่ๆ    เส้นประสาทที่เล็กๆ  
      กล้ามเนื้อมัดน้อยๆ   ก็ข้ามไปไม่ได้เรียน    ตอนนี้แหละ zoology
      ที่เรียนมาตอนปี 1 มีประโยชน์อย่างมาก  เพราะชื่อกล้ามเนื้อต่างๆ  
      เส้นเลือดเส้นประสาท  กระดูก  ของกระต่าย และคนคล้ายๆกัน     เคยท่องมาแล้ว  
      เลยเรียนไปได้ไว  อาศัยความคุ้นจากอาจารย์กระต่าย
      ตอนนี้เรานึกขอบคุณอาจารย์กระต่าย  ที่ช่วยทำให้การเรียน gross ได้ไว        
                                                
      อาจารย์เคยบอกว่าทำไม  นักศึกษาทันตแพทย์  ต้องเรียนอาจารย์ใหญ่ด้วย  
      ทั้งๆที่จบออกไปเราก็แค่รักษา  เฉพาะในช่องปากเท่านั้น   อาจารย์บอกว่า
      อาจารย์ไม่ได้ต้องการให้พวกเราเป็นแค่   “ช่างทำฟัน”   แต่ต้องการให้เราเป็น
      “หมอฟัน” ด้วยตางหาก

      Physiology   เรียนเกี่ยวกับระบบต่างๆของร่างกายมนุษย์
      ต่อยอดความรู้เดิมที่ได้เรียนมา    เจาะลึกเข้าไป เช่น
      อย่างระบบไตจากมัธยมเราก็ได้เรียนมาว่ามีหน้าที่รักษาสมดุลน้ำในร่างกาย
      ขับออกและดูดสารบางอย่างกลับ  แต่วิชานี้เราจะเจาะลึกเข้าไปว่ามันทำงานอย่างไร
      มีสารตัวใดเกี่ยวข้องบ้าง  ไตสามารถขับสารได้ด้วยกลไกอะไร  
      ฮอร์โมนออกฤทธิ์ได้อย่างไร     อย่างงี้เป็นต้น ( พอจะเห็นภาพมั้ย )
      เรียนเบากว่าหมอหมอเรียนหนักกว่า  (หมอเรียน 10 หน่วยกิจ  
      สำหรับทันตแพทย์เรียน 6 )

      Histo  ของตัวคณะทันตแพทย์  (  จะต้องเรียน histo 2
      ตัวนะตัวคณะแพทย์อีกตัวนึงด้วย เกี่ยวกับร่างกายเกือบทั้งหมด
      ไว้จะกล่าวถึงทีหลัง )  ตัวจะเรียนเกี่ยวกับ  ฟัน
      และช่องปากเจาะลึกถึงอนูของมัน ส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศฯ
      ประกอบจากเนื้อเยื่ออะไร  ลักษณะเนื่อเยื่อแต่ละชั้นเป็นอย่างไร  ดูฟัน
      เจาะลึก enamel  dentin   ดูลักษณะ    ส่วนประกอบ   การจัดเรียงตัว
      ลักษณะเป็นอย่างไร  เรียนเส้นประสาทที่เกี่ยวข้องกับฟันและช่องปาก  ด้วย
      แล้วก็เรียนวิธีการนำฟัน และเยื้อเยื่อมาทำ slide ด้วย
      เรียกว่าใช้ความละเอียด  ความจำ   ความเข้าใจในการเรียน

      Dental anatomy  เป็นตัวแลกเชอร์  เรียนเกี่ยวกับการเรียกชื่อฟัน  ปุ่มฟัน  
      ร่องฟัน   แยกความแตกต่างของฟันแต่ละซี่    ทั้งฟันแท้และฟันน้ำนม  
      เรียนอายุการขึ้นของฟัน เช่น อายุ 6 ขวบ ควรจะมีซี่ไหนขึ้นในช่องปากบ้าง
      ซี่ไหนจะหลุด  ซี่ไหนกำลังจะโพล่พ้นเหงือก เป็นต้น  กล้ามเนื้อ
      เส้นประสาทต่างๆ  
      Prostic  เรียนการทำฟันปลอมทั้งปาก  ขั้นตอนต่างๆทำอย่างไรบ้าง
      แล้วก็ได้ไปลงมือปฏิบัติจริงในแลบ
      Dental material  เรียนเกี่ยวกับ วัสดุอุปกรณ์ต่างๆที่เกี่ยวเนื่องกับทันตกรรม
        เช่น  วัสดุอุดฟันต่างๆ มีคุณสมบัติเชิงกลต่างกัน  ข้อดีข้อเสียของแต่ละตัว
        ควรจะใช้ตัวนี้ในกรณีไหนบ้าง  บางตัวต้องเรียนลึกถึงปฏิกิริยาเคมีมันเลยนะ
      (ได้นำเคมีมาใช้ก็วิชานี้แหละ)  มีอีกเยอะแยะมากมาย  นอกจากวัสดุอุด  
      เช่นวัสดุพิมพ์ปาก  ลวด  วัสดุทำฟันปลอม  เรียกว่าท่องกันเยอะแยะ มากมาย  
      เป็นวิชาท่องๆๆๆๆๆ เข้าไปอยางเดียว

      นี่แหละปี 2เทอม 1  ก่อนขึ้นปี 2 เราโนรุ่นพี่ขู่มากมาย รุ่นพี่บอกว่าปี 2
      ไม่มีผู้หญิงคนไหนไม่ร้องไห้  ซึ่งก็จริงค่ะ   เราเห็นน้ำตาเพื่อนมาเยอะแล้ว  
      น้ำตาเราก็เยอะ   บ้างก็มาจากความผิดหวัง  อ่านหนังสือไม่ทัน  เครียด  
      ทำแลบพัง  อาจารย์ตำหนิ   คิดถึงบ้าน  ตกมีน  และอื่นอีกมากมาย  
      แต่ก็ดีใจที่ผ่านมาได้

      ปี 2 เทอม 2 ปีนี้งานแลบก็จะเบาลงมาหน่อย  
      ไปดูแลบกันก่อนนะว่าเรียนอะไรบ้าง
      Oper     เกี่ยวกับอุดฟัน  กรอฟัน อาจารย์ก็จะกำหนดมาว่า
      ฟันซี่นี้มีรอยโรค(รอยฟันผุ)  ตรงนี้ๆ  ต้องกรอกำจัดรอยฟันผุออกขนาดเท่านี้ๆๆ
      (วัดกันหน่วย  0.1  มิลลิเมตร )  กรอให้กว้างและลึกเหมาะสมกับวัสดุอุด  
      อาจารย์จะเข้มๆๆงวดๆๆๆมากเช่นกัน    ใครกรอใหญ่ไป
      ถ้าเป็นฟันจริงคงจะทะลุโพรงประสาทไปเรียบร้อย                
      ก็ต้องเปลื่ยนซี่ฟันใหม่  ซี่ ละ 150 บาท  เพื่อนเราได้เปลี่ยนไป 5 ซี่  
      เราเปลี่ยนไป 3 ซี่  ( แต่ละคนเปลี่ยนฟันไม่น้อยหน้ากันหรอก )
      พอกรอผ่านแล้วก็มาหัดอุด  ทำให้ฟันเป็นลักษณะเดิมก่อนที่เราจะกรอแต่ง  
      ตอนแรกวิชานี้จะให้เรียนในแบบจำลองก่อน คือเป็นแบบจำลองปาก  
      ต่อมาเรียนในแฟมทอม เฮด ซึ่ง แบบจำลองคนไข้เป็นหุ่นเหมือนคนไข้นอนอยู่จริงๆ  
      สามารถปรับ  position ได้  ก็หัดกรอหัดอุดไปในหุ่นนี้

      PROSTHODONTICS เรียนทำฟันปลอมต่อจากเทอม 1  
      มาดูเลกเชอร์กันบ้าง

      Biochemistry   อันนี้ขอบอกว่าสุดยอด  จำกระหน่ำ   จำอย่างเดียว  
      ข้อสอบเขียนบรรยายหมด  

      Histo    เรียนเจาะลึกระดับเซลล์ของส่วนต่างๆของร่างกาย  เช่น   กระดูก
      ลักษณะเป็นอย่างไร  เซลล์ตับ  เซลล์เม็ดเลือด  ผนังมดลูก  อสุจิ  ภายในหู
      และตา  เป็นอย่างไร  ระบบเลือด   ระบบน้ำเหลือง มีเซลล์อะไรทำงาน  
      เรียนทฤษฏีก่อน  แล้วก็ไปดูกล้องจุลทรรศน์  

      Neuro    เรียนเกี่ยวกับระบบประสาท  ขอบอกว่าตัวนี้ก็สุดๆๆ
      เรียนส่วนประกอบต่างๆของสมองไขสันหลัง  ทั้งโครงสร้างภายนอก  และก็ภายในคือ
      ส่องกล้องจุลทรรศน์ดู  
      น้องๆจะได้เรียนรู้ว่าการที่ขยับแขนได้นั้นสมองสั่งการอย่างไร  
      และก็เรียนความผิดปกติด้วย  เช่นถ้า
      ส่วนนี้เสียไปร่างกายจะมีความผิดปกติอย่างไรบ้าง เรียนเสร็จแล้ว
      ต้องวิเคราะห์โรคได้ด้วย    

      Dental  material  ก็เรียนคล้ายกับตอนเทอม 1

      นี่คร่าวๆของปี 2 นะ   เดี๋ยวปี 3 ปี 4 จะตามมา ขอไปเรียบเรียงก่อน
      นะที่ต้องเขียนละเอียดหน่อยเพราะอยากให้เห็นภาพและมีประโยชน์ในการตัดสินใจเลือกคณะของน้องจริงๆ




      นี้แหละหมดแล้วปี 2   เป็นอย่างไรกันบ้าง  
      เราบอกเลยได้ก่อนเราเข้ามาเราไม่ได้คิดหรอกว่าจะต้องมาเรียนแบบนี้    
      เราเคยไปงานจุฬาวิชาการนะ  เคยหัดกรอหัดอุด  ที่พี่ๆ นิสิต
      สอนให้ในงานจุฬาวิชาการ   ขอบอกว่าเรียนจริงๆแล้วยากกว่ามาก   คนละเรื่องเลย
      เราไม่ได้ขู่นะ   แต่ถ้าคนที่อยากจะเรียนอยากจะเป็นจริงๆ  ก็อย่าทิ้งความฝัน
      แต่ก็อย่าหลอกตัวเอง ใครมั่นใจแล้วก็เอาเลยน้อง  เราเชียร์เต็มที่  สู้ตาย  
      ที่เล่าไปคร่าวๆเห็นถึงความลำบากในการเรียนหรือยัง    นี่แค่ปี
      2ไม่ได้ครึ่งทางเลยนะ  เราคิดว่าทันตะที่อื่นๆคงคล้ายๆกัน  
      ใครที่เลือกเพราะจบออกไปแล้วรวย   ใช่อาจจะจริง (ใช้คำว่าอาจจะจริงนะ)  
      พอเห็นภาพหรือยังว่ากว่าจะเป็นแต่หละอย่างมันต้องใช้ความพยายาม   อดทน  
      อย่างมาก  อุปสรรคก็มีอยู่แล้ว  อยู่ที่เราจะมีสติแค่ไหนในการผ่าฟันมันไป  
      นอกจากแลกเชอร์ที่หนักแล้ว  ยังต้องทำงานแลบอีก  
      อ่านถึงเช้าเป็นเรื่องปกติค่ะ  สอบติดๆๆกัน  สอบเสร็จต้องไปทำแลบต่อ
      ทำแลบเสร็จไปอ่านหนังสือเตรียมสอบวันต่อไป   บางทีเวลากินข้าวยังจะไม่มี  
      เวลานอนไม่ต้องพูดถึง  น้องบางคนอ่านถึงตรงนี้แล้วอาจจะสงสัย

      ชีวิตพวกเราระหว่างเรียนมีความสุขกันบ้างมั้ย??????   มีค่ะ  

      ต่อไปเรื่อยๆจะปรับตัวได้เองกับ  การสอบ  การเรียน  การทำแลบ   จนชินชา
      เรียนหนักเป็นเรื่องปกติ    ชินเสียแล้ว   หาความสุขเล็กๆน้อยๆระหว่างวัน  
      หรือถ้าทำใจได้ว่าอ่านหนังสือไปทันจริงๆ  ก็ไปดูหนังซะเลย    
      บางคนเลือกเรียนเพราะจบออกมาจะรวย  คิดง่ายนะ
      แต่ไม่มีอะไรในโลกนี้แลกมาได้ง่ายๆหรอกโดยเฉพาะ    ของดี     อย่าเอาปัจจัย
      รวย  มาเป็นปัจจัยหลักในการเลือกคณะเลย   เพราะ  เอาเข้าจริง   เงิน  มันซื้อ
      “ความ สุข จริงๆ ในชีวิต”ไม่ได้ ( ตามความคิดของเรานะ )  
      ลองไปถามพี่ๆหมอฟันที่จบแล้วดูว่ากว่าจะถึงวันนี้เค้าผ่านอะไรมาบ้าง
      แล้วอยากฝากอย่างหนึ่งถ้าใครอยากเรียนมากๆๆ  อยากเรียนมากจนยอมแลก
      ไม่สนอะไรกับ  มหาลัยที่ต่อท้ายคณะแล้ว  ( เช่นเราเป็นต้น )  
      ต้องจากบ้านจากคนที่รักไปเรียนไกล  ถ้ายอมแลก  กับการที่ต้องห่าง จากพ่อแม่
      จากสิ่งแวดล้อมที่เติบโตมา เพื่อความฝัน  ก็ต้องทำจิตใจให้เข้มแข็งมากๆๆๆ
      บอกแล้วคณะนี้จะเจอความผิดหวังบ่อย   เราจะต่างจากเด็กพื้นที่ตรงที่
      เค้ายังได้อยู่ใกล้พ่อแม่  ใกล้บ้านเมื่อเจอปัญหาก็ไม่ลำบากมาก
      เพราะมีกำลังใจอยู่ใกล้ๆ  มีที่ปรึกษา  มีบ้านให้กลับ  
      แต่สำหรับคนบ้านไกล  กำลังใจอย่างมากก็ได้ยินแค่เสียงเท่านั้นแหละ
      หรือบ้างครั้งท้อ   ทำแลบ  ทำแล้วทำอีก 3-4 รอบอาจารย์ไม่ให้ผ่าน   ท้อสุดๆ
      อยากกลับบ้านใจจะขาดก็กลับไม่ได้   ต้องตั้งสติเอง อดทนทำต่อไป    
      มันก็แล้วแต่พื้นฐานอารมณ์แต่ละคนนะ    พิจารณาดูเอาหละกัน  



      ตอนที่ 2 อัพเดท 5 ตุลาคม 2548
      ตอนที่ 2 อัพเดท 5 ตุลาคม 2548
      ตอนที่ 2 อัพเดท 5 ตุลาคม 2548



      หวัดดี ทุกๆคน หลังจากได้เขียน ตอนแรกไปแล้ว แล้วก็เว้นช่วงไป  
      ตอนนี้ปิดเทอมแล้วววววว   ก็เลยมาเขียนต่อให้อ่านกัน  
      สำหรับตอนแรกน้องๆหลายๆคนอ่านแล้ว  บางคนมีคำถามโพสไว้
      ขอโทษที่พี่ไม่ได้ตอบให้  เพราะเรียนหนักมากๆจริงๆ  

      .............................................................................................




          \" ตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ \"

          \" กำลังอ่านหนังสือเตรียม.....สอบ....จ๊ะ\"

         1  อาทิตย์ผ่านไป

           \" วันนี้ไปทำอะไร\"

           \" ไปห้องสมุดอ่านหนังสืออ่ะ จะสอบอีกแล้ว \"

         2  อาทิตย์ผ่านไป

           \" ว่างมั้ยเย็นนี้\"

           \" ต้องไปทำแลบอ่ะ  แล้วจะมีสอบอีกมะรืน อ่านไม่ทันแล้วเนี่ย\"


      ................................................................................................



                บทสนทนาข้างต้น เป็นชีวิตปกติของนักศึกษาปี 3 เทอม 1....ที่มีแต่การ
      \"สอบ\"
      เทอมนี้เน้นหนักทาง lecture มากกว่างาน lab
      และวิชา lecture ส่วนมากที่เรียนจะเป็นวิชาของ  คณะแพทย์  เช่น Pathology (
      เกี่ยวกับโรค )
      pharmacology  ( ยา )   micro ( จุลชีววิทยา )  Behavior ( พฤติกรรมศาสตร์ )
        เรียนเกือบๆจะเหมือน แพทย์ เลย  แต่จะแตกต่างกันนิดหน่อย
      บางอย่างที่มันลึกเกินไป
      อาจารย์ก็จะดัดแปลงเนื้อหาบางส่วน  
               ด้วยวิชาที่เยอะขึ้น  เนื้อหามาก   ก็เลยแบ่งสอบเป็น part
      อย่างเช่นเรียน part 1 จบแล้วก็สอบเลย
      ก็เลยมีสอบบ่อยมาก   เหมือนสอบตลอดเวลาก็ว่าได้  ทำให้ตื่นตัวตลอดเวลา
      เรียนหนักกว่าปี 2 มากๆ
      แต่เทอมนี้โชคดีหน่อย   ที่งานแลบ เบาลง  ก็เลยมีเวลาอ่านหนังสือมากขึ้น
      กิจกรรมก็น้อยลงด้วย
      พี่ๆและอาจารย์เข้าใจว่าปี 3 เรียนหนัก
      ก็เลยจัดสรรงานกิจกรรมมาให้รับผิดชอบน้อยหน่อย


      อ่า....คราวนี้เรามาเจาะลึก  ถึงแต่ละวิชากันว่าเป็นอย่างไรบ้าง  

      ตัวแรก  
      Pathology
      เรียนเกี่ยวกับโรคที่เกิดในคน   กระบวนการเกิดโรค และพยาธิสภาพของโรค
      ไม่ใช่เฉพาะในช่องปากนะ ทั้งตัวเลย
      อย่างเช่น เรียนเรื่องโรคที่เกิดจากไวรัส  ไวรัสตัวนี้ทำให้เกิดโรคอะไรได้บ้าง
      และมีรอยโรคเป็นอย่างไร
      เกิดที่บริเวณไหนของร่างกาย  จะวินิจฉัยแยกโรคนี้จากโรคอื่นๆได้อย่างไร  
      และก็จะเรียน lecture ไปพร้อมๆ กับ lab   lab ก็จะมีส่องกล้อง   ดูภาพ
      รอยโรคต่างๆ  

           สำหรับตัวนี้ก็มีประโยชน์ในวิชาชีพถึงแม้ว่าจะไม่ใช่หมอโดยตรง  เช่น  
      เมื่อเราเห็นรอยโรคบางอย่างในช่องปากขณะทำฟัน   หรือ
      รอยโรคอาการแสดงบริเวณอื่นๆของร่างกาย   ก็จะทำให้เราปฏิบัติตนได้อย่างเหมาะสม
      ขณะที่ทำการรักษา  เพราะว่าอาชีพทันตแพทย์ ทำงานในระยะใกล้ชิดกับคนไข้
      มีโอกาสสัมผัส  น้ำลาย  เลือด หนอง  ของคนไข้ได้เสมอ มีโอกาสติดต่อได้ง่าย
      หรือ บางโรค เราก็ส่ง refer หมอ  หรือให้คำแนะนำที่ถูกต้อง


      Pharmacology
          อันนี้เรียนเกี่ยวกับยา    กระบวนการออกฤทธิ์ของยาชนิดต่างๆ
      กระบวนการที่เกิดขึ้นในร่างกายเมื่อเราได้รับยาเข้าไป   เช่น
      ร่างกายจะดูดซึมยาได้ยังไง  ขับถ่ายยาออกทางไหน   แล้วก็เรียน ยากลุ่มต่างๆ
      เช่น   ยาคุมกำเนิด  ฮอร์โมน  ยารักษาโรคหัวใจ  ยาเคลือบกะเพาะ
      ก็คือยาที่ใช้ทั่วๆไปอ่ะ  แล้วก็ที่เกี่ยวกับทันตแพทย์โดยตรง เช่น  ยาชา
      อันนี้ใช้ในการ ถอนฟัน อุดฟัน   ยาแก้ปวดแก้อักเสบ    แล้วก็เรียน  เรียน side
      effect ( ฤทธิ์ข้างเคียงของยา ) ของยา เช่น  ยาตัวนี้มีฤทธิ์กัดกระเพาะ  
      ตัวนี้กินแล้วคลื่นไส้  อาเจียน  
            
             เวลาเรียนก็สนุกดี  แต่เวลาสอบนี่ไม่สนุก   เพราะต้องท่องชื่อยา
      ท่องฤทธิ์  ท่องๆๆ  แต่ก็ดีตรงที่นำไปใช้ได้
      ไม่ใช่กับเฉพาะคนไข้ที่มาทำฟันอย่างเดียว นำความรู้ใช้ประจำวันก็ได้  
      จากเดิมที่ไม่เคยรู้มาก่อน กินยาตามหมอสั่งอย่างเดียว  
      เรียนแล้วก็รู้ว่าไอ้ยาที่กินหนะมันมีฤทธิ์ยังไงบ้าง
      กินแล้วจะเกิดผลข้างเคียงยังไงกับตัวเรา


      Micro
          จุลชีววิทยา   เรียน  ไวรัส  แบคทีเรียย รา  
      และก็ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อสิ่งแปลกปลอม
      จะเน้นไปที่มันก่อโรคในร่างกาย  อย่างเช่นว่า  รา ชนิดนี้ทำให้เกิดโรคกลาก  
      ไวรัสที่ทำให้ติดเชื่อ  HIV
      เรียนเจาะลึกถึง  องค์ประกอบโครงสร้างของเชื้อ   ทำให้เกิดโรคได้อย่างไร
      การป้องกัน  และการรักษา





      3  วิชาแรกที่กล่วไป เนื้อหาจะเชื่อมโยงกันบางส่วนด้วย  
      ก็ต้องตั้งใจเรียนทั้ง 3 ตัวควบคู่กันไป




      มาดูวิชาคณะแพทย์ตัวสุดท้าย  

      Behavior  หรือเรียนเป็นภาษาไทยว่า  พฤติกรรมศาสตร์
            เรียนเกี่ยวกับ  พฤติกรรมมนุษย์   เชื่อมโยงในด้านสุขภาพ
      เพราะว่าในปัจจุบัน  โรคที่เกิดขึ้นบางโรคไม่ได้
      เกิดจากเชื่อโรคอย่างเดียว   บางโรคมีปัจจัยอื่นๆมาประกอบด้วย
      เช่นพฤติกรรมการกิน  สุขภาพจิตก็มีส่วนสำคัญ
      เรียนเรื่องโรคจิต   โรคประสาทชนิดต่างๆด้วย   เพื่อนบางคนที่เรียนบอกว่า
      อาการของโรคบางโรคตรงกับตัวเอง
      เลย!!!!...ก็มี

          หมดแล้วววววว  วิชาคณะแพทย์   หนักๆทั้งนั้นเลย  ยากด้วย  ชีวิตทันตะปี 3
      เทอม 1 ส่วนใหญ่ เรียนที่คณะ
      แพทย์  ( เรียนที่คณะแพทย์ 4 วัน  เรียนคณะตัวเองวันเดียว )
      รุ่นพี่จึงแนะนำว่า   เป็นโอกาสอันนี้ที่จะมีเพื่อนรู้ใจ
      ต่างคณะเป็น  คุณหมอ....อิอิ    จากที่ดูรุ่นเราก็แอบมองกันไปมองกันมาหลายคู่
      แต่ไม่รู้ว่าความรักต่างคณะจะ
      สำเร็จอะป่าวว..........







      ต่อมามาดูตัวคณะกันบ้าง
      Operative   dentistry

        ทันตกรรมบูรณะ   กรอ  อุดฟันวิชานี้เคยเรียนไปแล้วตอนปี 2 เทอม 2
      ถ้ายังจำกันได้เล่าถึงไว้ในตอนแรกด้วย
      มาปี 3 วิชานี้ก็จะยากขึ้นกว่าเดิม  ปฏิบัติการณ์ใน  แฟนธอมเฮด
      เป็นหุ่นจำลอง(มีแต่หัว)  คล้ายทำในคนไข้จริงๆ
      มันยากตรงที่ว่า  case ที่อาจารย์กำหนดมาให้จะยากขึ้น  อย่างเช่น
      ให้กรอกำจัดรอยโรคฟันผุในฟันกรามซี่บน  ลองนึกภาพตามนะ
      มันเป็นตำแหน่งที่อยู่ลึกใช่มั้ย  แล้วเป็นฟันบนด้วย  เพราะฉะนั้น  
      ก็ต้องใช้อุปกรณ์ที่สำคัญช่วย  นั่นก็คือ กระจก (mirror)  
      เคยเห็นมั้ยที่เป็นกระจกกลมๆ  มีด้วมจับยาวๆ  สอดเข้าไปในช่องปากได้  
      ทันตแพทย์ใช้กระจกเป็นตัวช่วยมองในการรักษาฟันบางซี่  
      ที่ไม่สามารถมองโดยตรงได้   เนื่องจาก position ไม่อำนวย  
      ไม่ใช้กระจกก็ต้องใช้ท่ามุด  หรือต้องก้มตัวมากๆ  ทำให้มีปัญหาปวดหลังปวดคอได้
        mirror จึงเป็นตัวช่วยที่สำคัญ...
           แต่.....มันยากตรงที่ว่า   สิ่งที่เราเห็นในกระจกกับ
      ภาพจริงมันกลับด้านกัน  เพราะฉะนั้นเวลาทำ  ก็ต้องตั้งสติดีๆ
      ขยับมือไปด้านตรงข้ามกับที่เห็น   ต้องอาศัยการฝึก
      ถ้าเผลอนิดเดียวขยับมือผิดด้าน   กรอเบี้ยว   พลาดทะลุโพรงประสาทฟัน  
      ฟันคนไข้ก็จะตาย
           หรือบาง case  อาจารย์ก็จะกำหนดรอยโรคฟันผุมีขอบเขตกว้างมาก  
      ต้องกรอเนื้อฟันออกเยอะ   และก็มีเทคนิควิธีใหม่ๆ  มาใช้ในการอุดฟัน
      ทำให้วัสดุอุดอยู่ได้คงทนไม่หลุดหรือ แตกหัก
           เรียนแล้วเหนื่อยเครียดจริงๆ    เพราะต้องทำให้ทันเวลาที่กำหนด  
      อาจารย์จะเข้มงวดมากๆ   กรอลึกไป 0.5 มม.  นี่ก็ถือว่าพลาด
      อาจต้องโดนเปลี่ยนฟัน  ให้ทำในฟันซี่ใหม่   หรือ โดนตัดคะแนนจนเหลือน้อยๆ
      อาจจะฟังดูโหด
      แต่มันก็เป็นเรื่องที่มีเหตุผลฟันแต่ละซี่ที่อยู่ในปากก็เล็ดนิดเดียว
      แต่มีความแข็งแรงมากๆ  
      ถ้ากรอผิดพลาดไปนิดเดียวก็ก่อให่เกิดความเสียหายที่รุนแรงได้ในบางกรณี   เช่น
      ถ้ากรอมากเกินไป  ฟันซี่นั้นอาจสูญเสียความเข็งแรง  
      บางทีทำให้ทะลุโพรงประสาทฟัน  หรือ ต้องเปลี่ยนจากอุดฟัน  เป็นการครอบฟันแทน  
      ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดจากมือหมอฟัน  
      เราเรารักษาบูรณะให้คนไข้ให้ฟันกลับไปใช้งานได้   ไม่ใช่แย่กว่าเดิม


      Prosthodontics
      ทันตกรรมประดิษฐ์   ในเทอมนี้จะได้เรียนเกี่ยวกับ  การทำฟันปลอมบางส่วนถอดได้
      ( คือ เรียนการทำฟันปลอมให้กับคนไข้ที่ฟันในช่องปากหายไปเพียงบางซี่ )  
      คราวนี้แหละจะได้นำหลักฟิสิกส์ตอนม.ปลาบมาใช้ในการออกแบบฟันปลอมด้วย  
      ในเรื่องของ  คานงัด  พื้นเอียง  อย่างเพิ่งตกใจ  ไม่ถึงกับต้องใช้สูตรคำนวณ
      แต่นำหลักของฟิสิกส์มาใช้ในการพิจารณาวางแผนทำส่วนประกอบต่างๆของฟันปลอม
      เพื่อไม่ให้ฟันปลอมกระดกเวลาเครี้ยวอาหาร  
      หรือไปบิดงัดฟันธรรมชาติที่เหลืออยู่
      พิจรณาแรงบดเคี่ยวที่กระทำต่อเนื่อเยื่อรองรับ  สิ่งเหล่านี้มะความสำคัญกับการ
      ฟังชั่น  ของฟันปลอม
      ก็ต้องออกแบบฟันปลอมให้ผู้ป่วยใช้งานได้ดีที่สุด ทดแทนฟันที่สูญเสียไป  
      โดนใช้ ฟิสิกส์


      oral  pathology
      เรียน โรคที่เกิดในช่องปาก   พยาธิสภาพ  ความผิดปกติของฟัน  เหงือก
      ทั้งที่เกิดจากพันธุกรรม  หรือ สาเหตุอื่นๆ
      การแก้ไขรักษา






      ..............เนี่ยแหละ ปี 3 เทอม 1  ผ่านไปอีกเทอม
      ไม่ใช่ง่ายเลย....................
      ชีททั้งหมดกองรวมกันสูงเลยเอว   ( เราสูง 160 กว่า )  มากกว่า ชีวะม.ปลาย 3
      เท่า
      และก็ต้องนำความรู้ทั้งหมดมาเชื่อมโยงกันด้วย   ถึงจะนำไปใช้ได้  
      ตอนสอบนี่ก็โหดมาก  ไม่มีหยุดให้อ่าน   เรียนจบสอบเลย   midterm 5 วัน เช้า
      สอบวิชานึง บ่ายสอบอีกวิชา
      เพื่อนเราต้องใช้ยาแก้เครียดไปหลายคน   มันหนัก   เหนื่อยจริงๆ  
      บางอย่างมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ตัวเรา   ขึ้นอยู่กับเพื่อนๆด้วย
      เพราะว่าตัดอิงกลุ่ม  ขึ้นอยู่กับอาจารย์   งานแลบ
      มาตราฐานในการตรวจงานของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน    ทำได้แค่เพียงทำใจยอมรับ    

               แต่ถึงยังไงเราก็ภูมิใจนะที่ได้เรียนคณะที่เราตั้งใจไว้  
      เป็นกำลังใจให้น้องๆทุกๆคน   ที่เราเล่ามามันฟังดูเหนื่อย
      พี่ไม่ได้เล่าให้น้องหมดกำลังใจ   หรืออ่านแล้วหดหู่
      แต่มันเป็นความจริงเป็นสิ่งที่   ทันตแพทย์จะต้องเจอ   ให้เตรียมใจ  
      ไว้กับอุปสรรคในการเรียน   ไม่ใช่ว่าทันตแพทย์ทำงานสบาย  เหมือนได้เงินมาง่าย
      แต่ลองมองให้ลึกว่ากว่าจะจบแต่ละปีต้องเรียนอะไรบ้าง
      ต้องรู้อะไรบ้างกว่าจะรักษาผู้ป่วยได้  
               สุดท้ายขอให้น้องโชคดีหละกันน

                                                   จอมโจรคิด



                             จอมโจรคิด : atom_mm@hotmail.com

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×